Popular Posts

Wednesday, April 24, 2013

การวางเเผนธุรกิจเลี้ยงสุกร


การวางเเผนธุรกิจเลี้ยงสุกร
 
การจัดการพ่อสุกร
 
พ่อสุกรที่จะนำมาใช้เป็นพ่อพันธุ์ ควรมีอายุ 8 เดือนขึ้นไป ให้อาหารโปรตีน 16 % ให้กินอาหารวันละ 2 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับสภาพของพ่อสุกรด้วยว่าไม่อ้วนและผอมเกินไป
 
 
การจัดการแม่สุกร
 
ให้อาหารโปรตีน 16% ให้กินอาหารวันละ 2 กิโลกรัม แม่สุกรสาวควรมีอายุ 7-8 เดือน น้ำหนัก 100-120 กิโลกรัม จึงนำมาผสมพันธุ์ (เป็นสัดครั้งที่ 2-3) ผสมพันธุ์ 2 ครั้ง (เช้า-เช้า , เย็น-เย็น) เมื่อผสมพันธุ์แล้วควรลดอาหารให้เหลือ 1.5-2 กิโลกรัม เมื่อตั้งท้องได้ 90-108 วัน ควรเพิ่มอาหารเป็น 2-2.5 กิโลกรัม และเมื่อตั้งท้องได้ 108 วันคลอดลูก ให้ลดอาหารลงเหลือ 1-1.5 กิโลกรัม (ปกติสุกรจะตั้งท้องประมาณ 114 วัน) แม่สุกรควรอยู่ในสภาพปานกลาง คือ ไม่อ้วน หรือผอมเกินไป แม่สุกรจะให้ลูกดีที่สุดในครอกที่ 3-5 และควรคัดแม่สุกรออกในครอกที่ 7 หรือ8 (แม่สุกรให้ลูกเกินกว่าครอก ที่ 7 ขึ้นไป มักจะให้จำนวนลูกสุกรแรกคลอด มีชีวิต และจำนวนสุกรหย่านมลดลง)
 
 
การจัดการแม่สุกรก่อนคลอด ระวังอย่าให้แม่สุกรเจ็บป่วยหรือท้องผูก ควรจัดการ ดังนี้

แม่สุกรก่อนคลอด 7 วัน ให้อาบน้ำด้วยสบู่ทำความสะอาดแม่สุกร โดยเฉพาะราวนม บั้นท้าย อวัยวะเพศ แล้วพ่นอาบด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค (ละลายน้ำ ตามอัตราส่วน) และพ่นยาพยาธิภายนอก แล้วนำเข้าคอกคลอด
 
ก่อนแม่สุกรคลอด 4 วัน ควรลดอาหารลงเหลือ 1-1.5 กิโลกรัม/วัน ควรผสมรำละเอียดเพิ่มอีก 20 % ในอาหาร โดยให้แม่สุกรกิน 4-6 วันก่อนคลอด หรือผสมแม็กนีเซียมซัลเฟต (ดีเกลือ) ประมาณ 10 กรัม โดยคลุกอาหารให้ทั่วให้แม่สุกรกินวันละครั้ง 1-3 วันก่อนคลอด เพื่อป้องกันแม่สุกรท้องผูก ช่วยลดปัญหาแม่สุกรคลอดยาก
 
ดูแลแม่สุกรอย่างใกล้ชิด อย่าให้แม่สุกรป่วย เช่น สังเกตรางอาหารว่าแม่สุกรกินอาหารหมดหรือไม่ ถ่ายอุจจาระเป็นเม็ดกระสุน ท้องเสีย หอบแรง เป็นต้น ถ้าแม่สุกรป่วยก็ควรรักษาตามอาการ

คอกคลอด ก่อนนำแม่สุกรเข้าคอกคลอด คอกคลอดต้องสะอาด ราดหรือพ่นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และโรยปูนขาว ต้องมีอาการพักคอกไว้อย่างน้อย 7 วัน ซึ่งจะเป็นการตัดวงจรของเชื้อโรค
 
การจัดการลูกสุกรเมื่อคลอด
 
 
แม่สุกรก่อนคลอด 24 ชั่วโมง จะมีน้ำนมไหลออกมาจากเต้านม ลูกสุกรแรกคลอดควรดูแลปฏิบัติ ดังนี้
ใช้ผ้าที่สะอาดหรือฟางเช็ดตัวลูกสุกรให้แห้ง ควักเอาน้ำเมือกในปากและในจมูกออก

การตัดสายสะดือ ใช้ด้ายผูกสายสะดือให้ห่างจากพื้นท้องประมาณ 1-2 นิ้ว ตัดสายสะดือด้วยกรรไกร ทารอยแผลด้วยทิงเจอร์ไอโอดีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค

ตัดเขี้ยวออกให้หมด (เขี้ยวมี 8 ซี่ ข้างบน 4  ซี่ ข้างล่าง 4 ซี่ ) เพื่อป้องกันลูกสุกรกัดเต้านมแม่สุกรเป็นแผลในขณะแย่งดูดนม

รีบนำลูกสุกรกินนมน้ำเหลืองจากเต้านมแม่สุกรในนมน้ำเหลืองจะมีสารอาหาร และภูมิคุ้มกันโรค ปกตินมน้ำเหลืองจะมีอยู่ประมาณ 36 ชั่วโมง หลังคลอด จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นน้ำนมธรรมดา
 
การจัดการลูกสุกรแรกคลอด-หย่านม
 
ลูกสุกรในระยะ 15 วันแรก ต้องการความอบอุ่น ต้องจัดหา
ลูกสุกรอายุ 1-3 วัน ให้ฉีดธาตุเหล็กเข้ากล้ามเนื้อตัวละ 2 ซี.ซี เพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง
ลูกสุกรอายุ 10 วัน เริ่มให้อาหารสุกรนมหรืออาหารสุกรอ่อน (อาหารเลียราง) เพื่อฝึกให้ลูกสุกรกินอาหาร โดยให้กินทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง

ลูกสุกรทั่วไปหย่านมเมื่ออายุ 28 วัน (4 สัปดาห์)
 
 
การจัดการลูกสุกรเมื่อหย่านม
 
หย่านมลูกสุกรเมื่ออายุ 28 วัน น้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม ควรย้ายแม่สุกรออกไปก่อนให้ลูกสุกรอยู่ในคอกเดิมสัก 3-5 วัน แล้วจึงย้ายลูกออกไปคอกอนุบาล เพื่อป้องกันลูกสุกรเครียด และควรใช้วิตามินหรือยาปฏิชีวนะละลายน้ำให้ลูกสุกรกินหลังจากหย่านมประมาณ 3-5 วัน

ลูกสุกรอายุ 6 สัปดาห์ ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์สุกรและฉีดวัคซีนซ้ำทุก ๆ 6 เดือน ในสุกรพ่อแม่พันธุ์(วัคซีนมีความคุ้มโรคได้ประมาณ 6-12 เดือน)

ลูกสุกรอายุ 7 สัปดาห์ ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย่ และฉีดวัคซีนซ้ำทุก ๆ 4-6 เดือน ในสุกรพ่อแม่พันธุ์ (วัคซีนมีความคุ้มโรคได้ประมาณ 4-6 เดือน)

ลูกสุกรอายุ 2 เดือนครึ่ง ควรให้ยาถ่ายพยาธิ และให้ซ้ำหลักจากให้ครั้งแรก 21 วัน ในสุกรพ่อแม่พันธุ์ควรถ่ายพยาธิทุก ๆ 6 เดือน
 
 
การจัดการแม่สุกรหลังคลอด
 
ฉีดยาปฏิชีวนะ ให้แม่สุกรหลังคลอดทันทีติดต่อกันเป็นเวลา 1-2 วัน เพื่อป้องกันมดลูกอักเสบ (ยาเพนสเตร็ป, แอมพิซิลิน, เทอร์รามัยซิน เป็นต้น
 
หลังคลอด 1-3 วัน ควรให้อาหารแม่สุกรน้อยลง(วันละ 1-2 กิโลกรัม) และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนให้อาหารเต็มที่เมื่อหลังคลอด 14 วัน (ให้อาหารวันละ 4-6 กิโลกรัม) จนกระทั่งแม่สุกรหย่านม ระวังอย่าให้แม่สุกรผอมเมื่อหย่านม ซึ่งจะมีผลทำให้แม่สุกรไม่สมบูรณ์พันธุ์ และโทรมมาก แม่สุกรหลังหย่านมควรขังรวมกันคอกละประมาณ 2-5 ตัว (ขนาดใกล้เคียงกัน) เพื่อให้เกิดความเครียดจะเป็นสัดง่ายและจะเป็นสัดภายใน 3-10 วัน ถ้าแม่สุกรเป็นสัดทำให้การผสมพันธุ์ได้เลย
 
ปัญหาแม่สุกรไม่เป็นสัด สุกรสาวหรือเม่สุกรหลังจากหย่านมแล้วไม่เป็นสัด หรือเป็นสัดเงียบ จะพบเห็นได้บ่อย ๆ มีวิธีแก้ไข ดังนี้
 
1. ต้อนแม่สุกรมาขังรวมกัน เพื่อให้เกิดความเครียด
2. เลี้ยงพ่อสุกรอยู่ใกล้ ๆ หรือให้พ่อสุกรเข้ามาสัมผัสแม่สุกรบ้าง .
การผสมพันธุ์เพื่อให้ได้ลูกดก
1. คัดเลือกสายแม่พันธุ์ เช่น ควรใช้แม่พันธุ์ เช่น ควรใช้แม่พันธุ์ลาร์จไวท์ แม่พันธุ์แลนด์เรซ หรือลูกผสมแลนด์เรซ-ลาร์จไวท์
2. ผสมเมื่อแม่สุกรเป็นสัดเต็มที่ ซึ่งจะทำให้ไข่ตกมากจะอยู่ช่วงวันที่ 2-3 ของการะเป็นสัด ผสม 2 ครั้ง ห่างกัน 24 ชี่วโมง (เช้า-เช้า , เย็น-เย็น)
3. ถ้ามีพ่อสุกรหลายตัว และผลิตสุกรขุนเป็นการค้าควรใช้พ่อสุกร
4. แม่สุกรหลังจากหย่านมแล้ว 1 วัน ควรเพิ่มอาหารให้จนกระทั่งเป็นสัด โดยให้อาหารวันละ 3-4 กิโลกรัม (ไม่เกิน 15 วัน) เพื่อทำให้ไข่ตกมากขึ้น และเมื่อผสมพันธุ์แล้ว ให้ลดอาหารแม่สุกรลงเหลือวันละ 1.5-2 กิโลกรัม ตามปกติ

การเป็นตัวเเทนกิฟฟารีน


การเป็นตัวเเทนกิฟฟารีน
 

บทความน่าสนใจ
 
เปิดกลยุทธ์ “กิฟฟารีน” ถึงจุดเปลี่ยน ตอบโจทย์ให้ตรงใจผู้บริโภค
จากมูลค่าตลาดขายตรงที่มีกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทำให้ขายตรงเป็นหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจที่เริ่มคึกคักมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ในวันนี้จะพบเห็นผู้ประกอบการรายเก่าและใหม่ ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอกต่างก็งัดกลยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ เข้าสู้ เพื่อหวังที่จะเข้ามาแชร์ตลาดขายตรงให้ได้มากที่สุด
และเมื่อกล่าวถึงธุรกิจขายตรงแล้ว ชื่อของ “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “กิฟฟารีน” ย่อมเป็นยอมรับ จากฐานะหนึ่งในผู้นำตลาดขายตรงหลายชั้น หรือ MLM : Multi-level Marketing ของเมืองไทย
กิฟฟารีนถูกก่อตั้งขึ้นในยุคฟองสบู่เศรษฐกิจ หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ซึ่ง พ.ญ.นลินี บอกว่า การสร้างแบรนด์ไทยในยุคนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะแบรนด์ขายตรงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฉะนั้นโจทย์ทางธุรกิจของกิฟฟารีนที่ต้องตีฝ่ามีอยู่ 2 ประการ คือ
1 – จะทำอย่างไรให้คนไทยยอมรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ใหม่ และ 2 – จะทำให้บริษัทเปิดใหม่ผ่านพ้นภาวะวิกฤตเศรษฐกิจไปได้อย่างไร
แต่จากประสบการณ์เคยทำธุรกิจขายตรงแบรนด์ “สุพรีเดิร์ม” มาก่อน ทำให้ทราบว่าจริงๆ แล้ว เหตุผลที่คนไทยไม่มีความมั่นใจในแบรนด์ไทยนั้น เป็นเพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดี จึงให้ความเชื่อมั่นต่อสินค้าแบรนด์ต่างประเทศมากกว่า พ.ญ.นลินี จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์กิฟฟารีนโดยการใช้หลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ นำเสนอข้อมูลสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภค
ในขณะเดียวกันก็หันมาปรับเปลี่ยนวิธีการขายตรงในรูปแบบใหม่ จะไม่เป็นการยัดเยียดขายสินค้าให้กับผู้บริโภค เพื่อสร้างยอดขายของนักธุรกิจอิสระ แต่จะเป็นภาพของการเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกันระหว่างนักธุรกิจอิสระกับบริษัท ให้ผลตอบแทนตามความยุติธรรมที่มาจากการใช้สินค้าหรือแนะนำสินค้าจริงๆ
นี่คือกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในยุคเริ่มแรกของกิฟฟารีน ซึ่งต้องยอมรับว่าสามารถทำให้กิฟฟารีนกลายมาเป็นบริษัทขายตรงของคนไทยที่ประสบความสำเร็จทางด้านตลาดเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อถึงวันนี้ต้องบอกว่ากิฟฟารีนได้ก้าวผ่านมาสู่ยุคที่สองของการทำธุรกิจขายตรงแล้ว ฉะนั้นคำถาม คือ จากนี้ไปกิฟฟารีนจะเดินไปในทิศทางไหน แล้วจะปรับเปลี่ยนยุทธวิธีขายตรงเป็นอย่างไร
“เรายังคงไม่หยุดที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายของการเป็นผู้นำตลาดขายตรงหลายชั้น ซึ่งในตอนนี้กิฟฟารีนเติบโตขึ้นมาก การดูแลองค์กรขนาดใหญ่ก็จะเป็นอะไรที่ต้องระมัดระวังและรอบคอบ”
ดังนั้นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่จะนำมาใช้ต่อจากนี้ก็จะเป็นการผสมผสานหลายๆ องค์ประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความสามารถหรือศักยภาพของนักธุรกิจอิสระให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น หรือการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ ทั้งการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการดูแลผลิตภัณฑ์เดิม เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครบถ้วน
“ความยากของธุรกิจขายตรงในยุคนี้ คือ ผู้ประกอบการจะต้องตีโจทย์ความคิดของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคในวันนี้เปลี่ยนไป มีสื่อหลากหลายแขนงให้เลือกดูเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นการตัดสินใจจะเลือกซื้อสินค้าก็จะเป็นอะไรที่ต้องมาสู้กันที่ความเหนือกว่า และความแตกต่าง”
ปัจจุบันกิฟฟารีนมีสมาชิกอยู่ประมาณ 4,300,000 คน แบ่งเป็นนักธุรกิจอิสระประมาณ 300,000 คน โดยในปี 2550 มียอดขายอยู่ที่ 3,900 ล้านบาท ในขณะที่ปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 10% หรือประมาณ 4,300 ล้านบาท
“การปรับตัวของกิฟฟารีนนั้น ในปีนี้จะเน้นให้ความสำคัญกับการเทรนนิ่งนักธุรกิจอิสระที่จะเข้ามาทำธุรกิจด้วยกัน ให้ทำงานเป็น เป็นแบบมืออาชีพจริงๆ เพราะสนามแข่งขันในปี 2551 นี้สูงมาก ต้องเรียกว่าเป็นสงครามการซื้อใจผู้บริโภค ส่วนตัวสินค้าก็ต้องปรับให้เอื้อต่อตลาดในยุคนี้ด้วย นั่นคือ มีราคาที่ไม่สูงเกินไป และมีรายละเอียดเหตุผลในข้อดีของการใช้งานอย่างชัดเจน”
พ.ญ.นลินี กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์การทำธุรกิจขายตรงให้ประสบความสำเร็จนั้น ประการแรกต้องเข้าใจเนื้องาน ซึ่งหมายถึง ตัวรูปแบบของธุรกิจ วิธีการทำธุรกิจที่นักธุรกิจอิสระเข้ามาทำแล้วประสบความสำเร็จได้จริง มีรูปธรรมเห็นได้ชัดเจน ทำไม่ยากจนเกินไป
และอีกประการ ต้องเข้าใจคน ธุรกิจขายตรงที่ประสบความสำเร็จในแต่ละประเทศจะต้องมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน เพราะแนวคิดของคนและขนมธรรมเนียมจะแตกต่างกัน ฉะนั้นการทำธุรกิจขายตรงไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหน คุณจะต้องเข้าใจคนในประเทศนั้นๆ เสียก่อน
“ถ้าถามว่าคีย์ซัสเซคของกิฟฟารีนคืออะไร ก็มองว่าน่าจะมี 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. สินค้าของกิฟฟารีนสามารถขายตัวมันเองได้ ผู้บริโภคจำนวนมากสามารถซื้อสินค้าซ้ำอีกได้ และ 2. วิธีการบริหารจัดการคนที่อยู่ในเครือข่ายธุรกิจให้ได้รับในสิ่งที่เขาพึงพอใจ ซึ่งทำให้คนเหล่านี้มีความจงรักภักดีต่อกิฟฟารีนจริงๆ” พ.ญ นลินี กล่าวสรุปทิ้งท้าย
ที่มา ผู้จัดการ

การทำธุรกิจสร้างหอพัก


การทำธุรกิจสร้างหอพัก
 
ในวันนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ ที่ผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นธุรกิจที่เรียกง่ายๆ ว่าเสือนอนกิน ถ้าทำดี ลูกค้าพอใจ ก็ประสบความสำเร็จ ทำให้เรามักจะได้ยินหลายๆ คนถามกันมาว่า ถ้าจะทำธุรกิจหอพัก -อพาร์ทเม้นต์ จะเริ่มต้นกันอย่างไรดี จะต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่ จะบริหารจัดการยังไง ทำแล้วจะคุ้มไหม ต้องเสียภาษีเท่าไร สารพัดคำถามที่วนเวียนในหัว ดังนั้นการทำธุรกิจหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ จะเป็นที่จะต้องมีการศึกษาทั้งข้อดี ข้อเสีย ก่อนที่จะเริ่มลงทุน
คุณธนินทร์ นนทรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท คอนคอร์ด แมเนจเม้นท์ จำกัด ได้ให้ข้อคิดในการทำธุรกิจ หอพัก – อพาร์ทเม้นท์ ว่า “เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ คือ อพาร์ทเม้นท์ที่มีการบริการเพิ่มขึ้นมา คนที่มีอพาร์ทเม้นท์อยู่แล้วมาทำเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์เสริมขึ้นไป ซึ่งการบริการเป็นสิ่งที่ทำให้เราประสบผลสำเร็จ ทำให้เราต้องหาข้อแตกต่างในการทำเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าเกิดการประทับใจ ในการเริ่มต้นการลงทุนนั้นผู้ประกอบการ จะต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าว่า จะหาลูกค้าจากไหน ลูกค้าเราคือใคร โดยจะต้องมาดูว่าทำเลที่ตั้งของเราเหมาะสมกับทำเลหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องมองไปถึงอนาคตว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางการลงทุน ลูกค้าต้องเป็นลูกค้าที่เราเห็นอยู่แล้ว ว่ามีอยู่จริง เราจึงจะไปก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ขึ้นมา
นอกจากมองฐานลูกค้าแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็ต้องมองว่ามีคู่แข่งหรือเปล่า แล้วเราต้องมาคิดว่าจะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นอย่างไร ในโครงการที่จะประสบความสำเร็จได้ คือ โครงการที่มีการเดินทางโดยสะดวกสบาย แล้วก็มีการรักษาความปลอดภัยที่ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า อพาร์ทเม้นท์หรือ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์อยู่ท้ายซอย เราก็สามารถจะชดเชยด้วยการบริการรถรับส่ง อยู่ลึกแค่ไหน แต่มีความปลอดภัยที่เหนือกว่า เป็นจุดที่สามารถแก้ไขความไม่สะดวกสบายได้”
การทำ feedback เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เรารู้ว่าจะดำเนินโครงการไปในทิศทางไหน จะเริ่มโครงการเวลาใด การทำโครงการไม่สามารถทำแล้วเสร็จในปีเดียว มันอาจจะไปเสร็จอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะทำให้ผู้ประกอบการ ประเมินแล้วสร้างความแตกต่าง เรื่องถัดมาที่เราจะต้องคำนึงถึง คือ เรื่องของข้อกฎหมาย ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคาร จะเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ หลายท่านอาจคิดว่า เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์กำไรดีมาก เพราะรับลูกค้าทั้งรายวัน รายเดือน แต่จริงๆ แล้ว การรับรายวันนั้นผิดกฎหมาย เพราะว่ากฎหมายระบุว่าต้องพักรายเดือนขึ้นไปเท่านั้น ถ้าท่านรับรายวัน จะต้องไปจดทะเบียน พรบ.โรงแรม ถ้าฝ่าฝืนจะมีการลงโทษ ปรับเป็นเงิน 20,000 บาทต่อวัน
ซึ่งทาง คุณณรงค์ จันทร์บูรณะพินิจ นักพัฒนาสังคม ชำนาญการ สำนักงานส่งเสริมและพิทักษ์เยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้กล่าวไว้ในสัมมนา สร้าง-บริหาร หอพัก-อพาร์ทเม้นท์ว่า “กฎหมายหอพัก -อพาร์ทเม้นท์ ความจริงแล้วไม่ได้มีอะไรมากมาย กฎหมายหอพัก มีออกมาตั้งแค่ปี 2507 เดิมทีกฎหมายหอพักจะขึ้นอยู่กับกรมประชาสงเคราะห์ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ปฏิรูประบบราชการเมื่อปี 2545 ส่งผลให้ในปี 2546 กฎหมายหอพักต้องขึ้นตรงกับกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ซึ่งจะมีหน้าที่ดูแลเรื่องหอพักทั่วประเทศ
จริงๆ แล้วหอพักจะต้องจดทะเบียนรับนักเรียนนักศึกษาเข้าพัก แต่ถ้าทำบ้านเช่า หรือรับผู้อื่นเข้าพักก็ไม่ต้องไปจดทะเบียน ทำให้มีการสับสนกันระหว่างหอพักกับอพาร์ทเม้นท์
ตามกฎหมายอพาร์ทเม้นท์ เจ้าของจะสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์รับบุคคลทั่วไป ไม่ได้คิดจะรับนักศึกษาเข้าพัก พอรับนักศึกษาเข้าพัก กลายเป็นหอพัก จะต้องจดทะเบียนหอพัก ส่วนกฎหมายหอพัก คือ มีนักศึกษาอยู่ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป แล้วเรียนหนังสือปริญญาตรีลงมา อายุไม่เกิน 25 ปี ต้องจดทะเบียนหอพัก เจตนาของกฎหมายคือ ต้องการให้เจ้าของหอพักดูแลเด็กมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ไม่มีกฎอะไรมากมาย
จุดมุ่งหมายของการทำหอพัก ให้เจ้าของสามารถอยู่ได้ เช่น หอพักหน้าโรงเรียนบดินเดชา คือ เจ้าของต้องการเด็กโรงเรียนบดินเดชาอย่างเดียว โดยเสียค่าใช้จ่ายเทอมละหนึ่งหมื่นห้าพันบาท มีบริการที่พิเศษกว่าที่ คือเขาจะซักเสื้อผ้าให้นักเรียนหนึ่งชุดฟรี ตอนเย็นกินข้าวฟรี 1 มื้อ หกโมงเย็นปิดหอพัก และได้มีการจดทะเบียนหอพัก ผมก็ได้มีการไปตรวจ ก็เห็นว่าเด็กอยู่กันอย่างมีความสุข เจตนาการจดทะเบียนหอพัก คือต้องการให้เด็กได้เรียนหนังสือปลอดภัยจากอันตราย ให้สถานที่นั้นเหมือนบ้านหลังที่สอง ให้เจ้าของหอพักเป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สอง แต่ท่านเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย ไปสร้างอพาร์ทเม้นท์ไปเรียกเป็นหอพัก เจ้าของกิจการยังไม่รู้ว่าอพาร์ทเม้นท์และหอพักมีความต่างกันอย่างไร บางคนอธิบายไม่ได้เลย บางคนอธิบายได้เยอะมาก คนที่เป็นนักกฎหมายยังไม่รู้เลยว่าหอพักมีกฎหมายควบคุมดูแลอยู่
การจดทะเบียนหอพัก ต้องมีหลักฐานการเป็นเจ้าของ คำว่าเจ้าของคือ หนึ่งอาจจะเช่ามา อาจจะครอบครองโดยกรรมสิทธิ์ ชั่วระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน กรรมสิทธิ์ในตัวอาคาร ก็สามารถจะมาจดทะเบียนหอพักได้ แต่มีปัญหาที่เกิดขึ้นในจังหวัดขอนแก่น 15 ราย ผู้ว่าฯไม่ให้จดทะเบียนหอพักได้ เพราะว่าคนที่จะมาขออนุญาตหอพัก ไปสร้างในที่สาธารณะจะมาจดทะเบียนหอพัก ผมบอกว่าเจ้าของหอพักไม่ได้บอกเจ้าของกรรมสิทธิ์ตรงนั้น ผมก็ชี้แจงไปว่าถ้าเป็นการเช่ามา จะต้องมีการเพิกถอนสถานที่ตรงนั้น ต้องนำคำสั่งศาลไปรื้อถอนให้หมด กฎหมายหอพักเป็นกฎหมายของสังคม บริการ สาธารณะ ตามกฎหมายการปกครองหากเจ้าหน้าที่ไม่จดทะเบียนให้ท่าน ท่านจะสามารถฟ้องได้”
เรื่องที่สามคือ เรื่องของต้นทุนในการดำเนินการก่อสร้างอาคาร การออกแบบและการตกแต่งภายใน แบ่งออกเป็น 3 เกรด
เกรด A หมายถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ กลุ่มลูกค้าที่มีรสนิยมสูง ระดับผู้บริหาร เราจะได้อัตราค่าเช่าที่สูง เดือนหนึ่งเป็นหลักแสน กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างดี จะเหมือนโรงแรม 5 ดาว ค่าออกแบบ อพาร์ทเม้นท์เกรด A จะตกอยู่ ตารางเมตรละ 1,100 บาท ค่าก่อสร้างตัวอาคาร 22,000 บาท ค่าตกแต่งภายในรวมเฟอร์นิเจอร์ จะอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาท ถ้ารวมแล้วก็ตกอยู่ประมาณ 48,000 บาท
เกรด B เป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีรสนิยมดีอยู่ แต่ก็ขอให้ดูดี อาจจะได้ราคาประมาณ 4-5 หมื่นต่อเดือน ค่าออกแบบ ตกแต่งภายใน ก่อสร้าง ประมาณ 34,000 บาท
เกรด C ไม่เน้นการดีไซด์ที่หรูแต่ดูดี วัสดุใช้แล้วทนทาน เน้นลูกค้าที่มีรายได้ไม่สูงมาก หรือเป็นอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ในโลเกชั่นที่ค่อนข้างดี เช่น ตามมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งภายในไม่เกิน 28,000 บาท
คุณธนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในทางปฏิบัติถ้าเรามุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มเกรด A เราจะไม่รู้ลักษณะนิสัยของชาวต่างชาติ สมมติกลุ่มที่เป็นตลาดประเทศญี่ปุ่น ข้อดีก็คือ คนญี่ปุ่นจะมีชั้นวรรณะ ถ้าเราได้ระดับประธานมาอยู่ เราจะไม่ได้กลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับผู้จัดการมาอยู่ เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง ถ้าเรามีได้ประธานมาอยู่ จ่ายเดือนละประมาณ หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท แต่กลุ่มผู้จัดการอีก 10 คน เราไม่ได้เพราะเขาจะไม่ยอมอยู่ตึกเดียวกับท่านประธาน
ทำให้เราต้องมาคิดว่าจะทำระดับสูงดีไหมให้เราอยู่รอด ผู้ที่จะรู้เรื่องนี้คือจะต้องจ้างคนมาบริหารงาน ต้องให้ผ็ที่มีประสบการณ์ที่เขามีเครื่องมือ มีอุปกรณ์ มีระบบที่ดี เข้ามาจัดการ เราจะเห็นว่าระดับ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ 4 ดาวขึ้นไป จะมีการจ้างกลุ่มบริษัทที่รับจัดการบริหารมาดูแล ข้อดีในการที่ทำให้บริษัทเข้ามาบริหารจัดการ มันจะทำให้ได้ราคาสูง แต่ทั้งนี้เราสามารถที่จะบริหารเองก็ได้หรือจะจ้างผู้จัดการที่มีประสบการณ์มาบริหารจัดการ หรือให้บุตรหลานศึกษางานจากธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ไปศึกษาเฉพาะโดนตรงจากต่างประเทศ หรือเข้าหาความรู้จากการอบรมสัมมนาในเรื่องที่เกี่ยวข้องเป็นต้น เป็นต้น”
เหนือสิ่งอื่นใดการจะดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมองเรื่องการตลาด การขายเป็นอันดับแรก จะหาลูกค้าใหม่ได้อย่างไร พร้อมกับจะพัฒนาการบริการให้ลูกค้าเก่าเกิดความประทับใจได้มากที่สุด ซึ่งจะต้องอาศัยสิ่งต่างๆ
โดยเฉพาะพนักงาน ในหลายๆ ที่พนักงานคือตัวที่ดึงดูดลูกค้า หากพนักงานปฏิบัติงานดี ก็ควรที่จะให้มีสวัสดิการที่ดีมีความรักในงาน และใช้พนักงาน Outsource ในจุดที่ไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้เช่าพัก เพื่อป้องการสูญหายในทรัพย์สินของลูกค้า นอกจากนี้หมั่นดูแลสถานที่ให้มีอยู่ในสภาพที่ดี สะอาดและทันสมัยอยู่เสมอ และสุดท้าย ควรใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในระบบเข้า-ออกและรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิด เพียงเท่านี้การลงทุนธุรกิจหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป คุณธนินทร์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : BuilderNews.in.th

การเปิดร้านทำป้ายประเภทต่างๆ

การเปิดร้านทำป้ายประเภทต่างๆ

ร้านป้ายสวยเป็นแหล่งรวบรวมป้ายสำเร็จรูปที่มี Design มากที่สุดมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เช่น ป้ายห้องน้ำ สวยๆ เก๋ๆ และมี Style ทั้งหลาย ป้ายบ้านเลขที่ ที่มีลุกเล่นโดดเด่น และป้ายสำเร็จรูปอื่นๆอีกมากมายที่สามารถนำไปใช้สำหรับประดับตกแต่งร้านอาหาร บ้าน ออฟฟิตและสถานที่ต่างๆ ให้ดูดีมี Style หรือจะเป็นของขวัญในเทศกาลโอกาสต่างๆ รับรองถูกใจผู้รับแน่นอน

สินค้าทุกชิ้นของทางร้านเป็นสินค้า Limited Edition ไม่สามารถหาซื้อที่อื่นๆได้ และทางร้านยังรับสั่งผลิตป้ายทุกชนิดอีกด้วย
เน้นทำเลให้เข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เช่น ภายในห้างสรรพสินค้า, AVENUE,CONVENIENT STONE, HOME PRO, HOME WORK, ไทวัสดุ, บุญถาวร, DO HOME, และอื่นๆ ที่ขายสินค้าตกแต่งบ้านและวัสดุ ซึ้งจะทำให้ลูกค้าติดต่อได้สะดวกสบายกว่า
ลักษณะกิจการ จำหน่ายป้ายสำเร็จรูป, บริการงานป้ายโฆษณา

ชื่อธุรกิจ (ไทย) ร้านป้ายสวย บาย วายเน็กซ์ซายน์
ชื่อธุรกิจ (อังกฤษ) Manysigns Shop By wynexsign
ปีที่ก่อตั้ง พ.ศ. 2550
ความเป็นมา
บริษัทมีประสบการณ์ด้านการดำเนินธุรกิจป้ายมานาน ผู้บริหารและทีมงานครบครัน, มีโรงงานผลิตป้ายของบริษัทเอง มีประสบการณ์ด้านงานป้ายมากกว่า 20 ปี และมีผลงานการผลิตในท้องตลาดมากมายจนเป็นที่ยอมรับของวงการต่างๆ
ลักษณะสินค้า
และบริการ
เป็นร้านป้ายหนึ่งเดียวในท้องตลาดที่ตกแต่งให้ดูน่าสนใจ สวยงาม พร้อมตัวอย่างสวยๆ มากมาย พร้อมให้ลูกค้าเข้าชม และมีสินค้าสำเร็จรูปที่มี Design ให้เลือกมากมาย และแบบมากที่สุดในท้องตลาดพร้อมรับสั่งทำป้ายทุกชนิด
และยังแตกต่างจากท้องตลาดมี Design ใหม่ๆ ตลอด (สินค้าไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน)
ประเทศ Thailand
กลุ่มประเทศ ASEAN Economic Community (AEC)
ค่าแฟรนไชส์ 98,000 บาท
จำนวนสาขา 3 สาขา
รายละเอียดสาขา
สาขาถ.นวลจันทร์ 60 กรุงเทพฯ
สาขาไทวัสดุ สุขาภิบาล 3 กรุงเทพฯ
สาขาไทวัสดุ บางนา กรุงเทพฯ
นโยบาย
การขยายสาขา
ขายแฟรนไชส์ / เปิดสาขาของบริษัทเอง
การลงทุน มี 2 รูปแบบได้แก่
เปิดร้านป้ายสวย เงินลงทุนมัดจำร้านป้ายสวย ขนาด 3.2 x 3.2 ม. (ขายปลีกและรับทำป้ายครบวงจร) พร้อมสินค้าตัวอย่างครบครัน งบประมาณ ลงทุนมัดจำร้าน 150,000 .- (ไม่รวมมูลค่าสินค้าป้ายสำเร็จรูปต่างๆ สำหรับเอาไว้ขายปลีกหรือขายส่ง)
พร้อมจ่ายค่าเช่าร้านป้ายสวย 4,000 .- / เดือน ชำระล่วงหน้า 3 เดือน (ไม่รวมค่าเช่าทำเลที่ตั้ง)
ระยะสัญญาค่าเช่าทำธุรกิจ (Business Partner) ต่อทุกๆ 2 ปี
เงินมัดจำร้านสามารถคืนได้ในกรณีที่หมดสัญญาและผู้เช่า (Business Partner)
ไม่ประสงค์จะทำธุรกิจต่อ แต่จะหักค่าเสื่อม 10% และหักค่าความเสียหายของทรัพย์สิน (ถ้ามี) โดยการประเมินจากทางบริษัทตามความเป็นจริง
ซื้อสินค้าป้ายสำเร็จรูปต่างๆไปขายปลีกได้รับ ส่วนลด 35 – 40 % (รับสินค้าไปขายอย่างเดียว, ไม่สามารถรับสั่งทำป้ายได้)
พร้อมสนับสนุนสินค้า Design ใหม่ๆ ให้ตลอด
ลงทุนเริ่มต้นที่ ประมาณไม่เกิน 20,000 .- (ค่าสินค้า) ก็เริ่มธุรกิจได้แล้ว
ลูกค้าหาทำเลขายเอง/ หรือมีสินค้าอยู่แล้ว
ระยะเวลาคืนทุน อยู่ที่ความสามารถและ Vision ของผู้ประกอบการเอง
คุณสมบัติ
ผู้ลงทุน
มีทำเลร้านค้า Booth, Kiosk หรือ ช่องทางขายหรือช่องทางกระจายสินค้าต่อกลุ่มเป้าหมาย (ทั่วประเทศ)

สิ่งที่แฟรนไชส์ซี่
จะได้รับ
ดูแลทำธุรกิจร่วมกันเปรียบเสมือนเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ (Business Partner)
ปรับปรุงสินค้า Design ใหม่ๆ
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเจริญก้าวหน้าของบริษัท
ให้สิทธิ์ขยายเขตการขายแต่ผู้เดียวตามศักยภาพและความเหมาสม
ทีมการตลาดคอยดูแลและให้คำแนะนำตลอด
อื่นๆ
เป็นธุรกิจที่มีตลาดกว้างมาก / มีโอกาสสร้างรายได้สูงมาก ไม่มีข้อจำกัด จากการรับสั่งทำป้ายและจำหน่ายป้ายสำเร็จรูป
มีสินค้าป้ายสำเร็จรูปมากมาย, ให้จำหน่ายเป็นรายได้และมี Design ใหม่ๆ ออกตลาดอยู่เสมอ สินค้าไม่เหมือนใคร
สามารถขยายตลาด โดยกระจายสินค้าในหลายๆ จุดโดยขายส่งให้กับผู้ค้าปลีกหรือเป็นจุดขายย่อยๆ เองในพื้นที่จังหวัดที่ท่านได้รับการแต่งตั้ง
มีตัวอย่างป้ายให้ลูกค้าเลือกชมและตัดสินใจซื้อซึ่งไม่สามารถหาซื้อที่ไหนได้

เปิดร้านทำขนมเเปรรูปจากกล้วย


เปิดร้านทำขนมเเปรรูปจากกล้วย
 
พูดก็พูดนะครับ ถ้าใครมีหัวเรื่องการทำของกินเนี่ย ทำให้ต้นทุนไม่เเพงเเล้วอร่อยนะครับ ขายยังไงก็อยู่ได้ครับพี่น้อง
 
กล้วยตากอาหารพื้นบ้านของคนไทย ที่สามารถหากินกันได้ในทุกภาค และด้วยรสชาติ และคุณประโยชน์ที่มีต่อร่างกายทำให้กล้วยได้รับความนิยม แต่สำหรับวัยรุ่นแล้ว การกินกล้วยเป็นเรื่องที่ล้าสมัย ดังนั้น ผู้ประกอบการกล้วยตากจังหวัดพิษณุโลก จึงได้เกิดไอเดียทำกล้วยตากเคลือบชอกโกแลตออกมาจำหน่าย
 
สำหรับกล้วยตากเคลือบชอกโกแลต แบรนด์ “TAI TAI” ของ นายศิริ วนสุวานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศิริวานิช (เอส แอนด์ ดับเบิ้ลยู จำกัด) จังหวัดพิษณุโลก เป็นโรงงานทำกล้วยตากที่เปิดดำเนินการมานานกว่า 10 ปี กล้วยที่ทางโรงงานเลือกใช้เป็นกล้วยน้ำว้าสายพันธุ์มะลิอ่องไส้ขาว เป็นกล้วยน้ำว้าสายพันธุ์ดีที่ทางโรงงานได้พัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นมาให้ดีกว่าเดิม เพื่อนำมาทำกล้วยตาก ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศเป็นหลัก
นางสาวนิตยา มูลทรัพย์ เจ้าหน้าที่ของโรงงาน เล่าว่า ทางโรงงานได้แปรรูปกล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง ในหลากหลายรูปแบบประกอบด้วย กล้วยตาก กล้วยอบกรอบ กล้วยอบนิ่ม กล้วยม้วน กล้วยอบกรอบสอดไส้มะขาม กล้วยดองในน้ำหวาน น้ำหวานกล้วย (บานาน่าไซรัป) ฯลฯ และหลังจากนั้น เจ้านายเกิดความคิดว่า จะทำอย่างไรให้วัยรุ่นหันมาสนใจกล้วยตาก จึงได้เดินทางไปดูงานต่างประเทศ เพื่อศึกษาความชอบของวัยรุ่นในต่างประเทศชอบกินอะไรกัน และพบเห็นว่าวัยรุ่นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ชอบกินชอกโกแลต จึงได้ทดลองทำสูตร กล้วยอบนิ่ม และกล้วยอบกรอบ เคลือบชอกโกแลต ออกมาขายควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์กล้วยอื่นๆ
โดยการเคลือบชอกโกแลตจะใช้น้ำหวานกล้วยเข้มข้นแทนน้ำตาล ทำให้ชอกโกแลตไม่ละลาย แม้ไม่ได้อยู่ในตู้เย็น ทำให้ไม่มีปัญหากรณีต้องส่งสินค้าไปต่างประเทศ และน้ำหวานกล้วยยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นความหวานตามธรรมชาติที่ช่วยให้กระปี่ กระเปร่า โดยเฉพาะคนเป็นโรคเบาหวานกินได้ไม่เป็นอันตราย ซึ่งตลาดหลักของเราจะส่งออกไป ประเทศรัสเซีย และญี่ปุ่น ลูกค้าให้การตอบรับดี
สำหรับกล้วยของโรงงานจะมีจุดเด่น อีกอย่างหนึ่ง คือ บรรจุภัณฑ์ ทางบริษัทให้ความสำคัญ เพราะช่วยยกระดับกล้วยตากให้ดีขึ้น จากเดิมเป็นเพียงสินค้าพื้นบ้าน ซึ่งการออกแบบกล่อง เราจะมีให้เลือกหลายขนาดเพื่อให้ลูกค้าได้มีทางเลือกทั้ง กล่องใหญ่ กลาง และเล็ก ภายในกล่องมีซองเล็ก แต่ละซองจะบรรจุกล้วยสองลูก ซึ่งราคาขายส่งต่างประเทศจะคิดเป็นซอง ๆละ 40 บาท (กล้วย 2 ลูก) ส่วนราคาขายในประเทศไทย ขายเป็นกล่อง กล่องใหญ่ขนาด 320 กรัม ราคา 110 บาท ขนาดกลาง 130 กรัมราคา 70 บาท ส่วนกล้วยตากธรรมชาติที่ไม่เคลือบชอกโกแลตขายกล่องละ 90 ขนาด ขนาด 320 กรัม ส่วนราคาน้ำหวานกล้วยเข้มข้น ผลิตออกมาขนาดเดียว 200 มิลลิลิตร ราคา 220 บาท
สำหรับน้ำหวานกล้วยเข้มข้น ได้จากกระบวนการอบแห้งกล้วยตากในโรงเรือน โดยใช้พลังแสงอาทิตย์ ควบคุมการผลิตที่อุณหภูมิไม่เกิน 75 องศาเซลเซียส ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือน้ำผึ้ง สามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมเครื่องดื่ม ทั้งร้อนและเย็น ทาขนมปังแทนน้ำตาล น้ำผึ้ง ซึ่งกล้วยน้ำหวานเข้มข้น มีราคาแพง เพราะน้ำหวานที่ได้จากการตากกล้วยครั้งหนึ่งได้ปริมาณไม่มาก ปัจจุบันมีวางขายเพียงแค่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะส่งออกไปยังประเทศไต้หวัน และจีน เพราะตลาดในเอเชียเริ่มรู้จักกล้วยน้ำว้ามากขึ้น และเห็นถึงประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของกล้วยน้ำว้าที่มีมากกว่า กล้วยอื่นๆ ประกอบกับรสชาติอร่อยไม่แพ้ กล้วยไข่ หรือ กล้วยหอมตลาดในเอเชีย อย่างจีนและไต้หวันจึงหันมาให้ความสนใจกับกล้วยน้ำว้ามากขึ้น ซึ่งในระยะหลังผู้ประกอบการเองมีการส่งออกกล้วยน้ำว้า ในรูปของกล้วยตากมากขึ้น ในขณะที่ตลาดเมืองไทย การแปรรูปในรูปของกล้วยตาก ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าโอทอป ที่วางขายตามสถานที่ท่องเที่ยว
สำหรับในส่วนของตลาดในเมือง อย่างในห้างสรรพสินค้า ยังมีอยู่น้อยมาก เพราะคนไทยเองก็มองกล้วยน้ำว้า หรือกล้วยตากเป็นอาหารพื้นบ้าน ราคาถูก ยิ่งเด็กรุ่นใหม่ มองการกินกล้วยตากเป็นเรื่องล้าสมัย ดังนั้น อาศัยช่องว่างทางการตลาดในห้างสรรพสินค้า ทำการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และปรับปรุงสูตรกล้วยในรูปแบบต่างๆ เชื่อว่า การทำตลาดกล้วยตากในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคนไทยเองรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าอยู่แล้ว ในส่วนของเราเอง สำหรับกล้วยเคลือบชอกโกแลตได้รับผลตอบรับจากคนรุ่นใหม่ ที่มองเห็นคุณประโยชน์ของกล้วยน้ำว้า และชื่นชอบในบรรจุภัณฑ์ ซื้อกินกัน
ในส่วนของขั้นตอนการผลิตของโรงงานจะมี 2 ส่วน คือ การผลิตด้วยวิธีธรรมชาติตากแดด โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงเรือน เพื่อให้ได้น้ำหวานกล้วยดังที่กล่าวมาข้างต้น และส่วนที่สอง เป็นกล้วยอบด้วยเครื่องอบ เพราะสามารถทำตอนไหนก็ได้ไม่ต้องรอแดด โดยทุกขั้นตอนการผลิตของโรงงานเราได้มาตราฐาน GMP และ HACCP
สำหรับในส่วนของของวัตถุดิบมีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก และทางโรงงานจะรับซื้อในราคายุติธรรม เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยในจังหวัดพิษณุโลกได้มีรายได้อีกทางหนึ่ง แต่ต้องเป็นสายพันธุ์มะลิอ่องเท่านั้น เพราะเป็นสายพันธุ์ที่มีกลิ่นหอม ลูกค้าในต่างประเทศจะชื่นชอบ แต่ด้วยบางครั้งเราใช้ผลผลิตครั้งละจำนวนมาก บางส่วนก็ต้องทำแปลงปลูกขึ้นมาเองด้วย
โทร. 055-268-038 ,www.banana-tai-tai.com
ของคุณบทความ จากผู้จัดการครับ

เปิดร้านทำสติกเกอร์แต่งรถ

เปิดร้านทำสติกเกอร์แต่งรถ

จัดเป็นธุรกิจนี่มีความน่าสนใจครับอย่างน้อยก็สร้างจุดที่ว่าความเเตกต่างจากผู้คู่เเข่งโดยส่วนตัวผมขนาดตลาดมันยังไม่กว้างมากตอนนี้เเต่ระยะยาวผมว่าน่าสนใจครับ อย่างน้อยถ้าคุณสามารถออกเเบบตัวสติกเกอร์ได้ก็ถือว่าได้เปรียบคู่เเข่งที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเดี่ยวกัน

นางสาวธันยพัฒน์ แสงไทย เจ้าของร้าน Sticker Makeover เล่าว่า ทำสติกเกอร์แต่งสีรถได้ประมาณ 2 ปี จุดเริ่มต้นมาจากครอบครัวขายอุปกรณ์แต่งรถอยู่แล้ว เดิมคุณพ่อขายอุปกรณ์ และทำสีรถให้กับรถแข่ง และได้ลูกค้าที่ชอบรถแข่ง และชื่นชอบลวดลายและสีรถแข่งในสนามก็แต่งตามรถแข่ง โดยทีมรถแข่งที่คุณพ่อออกแบบและทำสีรถให้แนะนำให้มาแต่งรถกับเราทำให้คุณพ่อมีลูกค้า นอกเหนือจากการทำสีรถแข่งในสนาม และยึดอาชีพการขายอุปกรณ์และแต่งรถตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบันทีมรถแข่งก็ยังคงใช้บริการของคุณพ่ออยู่ในส่วนของการแต่งสีรถ และจากการทำสีก็เปลี่ยนมาเป็นสติกเกอร์แทน


ในส่วนของ Sticker Makeover เป็นร้านแยกตัวมาทำเอง เปิดให้บริการอยู่ที่ถนนติวานนท์ ห้าแยกปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นการใช้สติกเกอร์แต่งสีรถ เป็นหลัก สติกเกอร์ที่ใช้เป็นสติกเกอร์ที่มีตัวแทนจำหน่ายนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเลือกใช้ยี่ห้อ 3M และ Oracal จากประเทศเยอรมนี เพราะเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเชื่อถือในมาตรฐาน แต่ถ้าขายดีก็ยังคงเป็น 3M เพราะลูกค้ารู้จักเชื่อมั่นในคุณภาพมานานกว่า ซึ่งปัจจุบันทั้งสองแบรนด์ผลิตในประเทศจีนและตัวแทนจำหน่ายก็นำเข้ามาจากประเทศจีน

สำหรับการแต่งรถด้วยสติกเกอร์ ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ เริ่มจากการ Warp สติกเกอร์ทั้งคัน การแต่งสติกเกอร์ หุ้มเคฟลาร์ และที่นิยมในตอนนี้ก็ต้องเป็นสติกเกอร์บอมบ์ BOMB หรือถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนสีรถ แต่ต้องการเคลือบสีรถ มีสติกเกอร์สีใสสำหรับป้องกันรอยขีดข่วน และป้องกันสีรถไม่ให้ซีดจางโดยที่สีรถไม่เปลี่ยน ซึ่งในส่วนของสติกเกอร์จะมีแบบใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหมือนเป็นสินค้าแฟชั่น เมื่อมีแบบใหม่ออกมา และมีรถนำมาติดออกไปวิ่งตามท้องถนน คนเห็นก็จะมาทำตาม

“ การเปลี่ยนสีรถแบบสติกเกอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าจะรู้จักการให้บริการตรงนี้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการก็จะแนะนำสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ลูกค้าหันมาให้ความสนใจและเปลี่ยนสีรถโดยใช้สติกเกอร์กันมากขึ้น เพราะด้วยราคาที่ถูกกว่าทำสีมากกว่า 50% อย่างการเปลี่ยนสีรถทั้งคันด้วยการ Warp ราคาเริ่มต้น 15,000 บาท แต่การแต่งลายรถอยู่ในหลักพันบาทเท่านั้น คนหันมาสนใจแต่งลายรถสติกเกอร์กันมากขึ้น และที่สำคัญไม่ทำให้สีรถเสียหาย”

นางสาวธันยพัฒน์บอกกับเราว่า ในปีนี้ถือว่า สติกเกอร์เปลี่ยนสีรถได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะโครงการรถคันแรก และมีรถซิตี้คาร์ รถเล็กออกมามาก และรถเล็กพอแต่งแล้วจะดูโดดเด่น ส่วนใหญ่รถเล็กที่ออกมาจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งชอบการแต่งรถอยู่แล้ว เมื่อรถยี่ห้อไหน ออกรถใหม่มาจะมีรถยี่ห้อนั้นมาติดกันเยอะ ในส่วนของแบบ ส่วนใหญ่ดูแบบมาจากการแต่งรถในต่างประเทศ ซึ่งเราเองดูแบบมาจากต่างประเทศเช่นกัน และตัวแทนจำหน่ายก็จะมีสติกเกอร์ในแบบที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศมานำเสนอ ส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการก็จะให้เราช่วยแนะนำและออกแบบให้มากกว่า

สำหรับอายุการใช้งานของสติกเกอร์อยู่ได้ประมาณ 2-5 ปีแล้วแต่คุณภาพ แต่เนื่องจากเป็นสินค้าแฟชั่น ลูกค้าจะติดได้ไม่เกิน 2-5 เดือน ก็นำมาเปลี่ยนลาย ทำให้ร้านสติกเกอร์ที่เปิดให้บริการจำนวนมากมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการอยู่เรื่อย ในส่วนของ Sticker Makeover มีลูกค้าประจำอยู่ค่อนข้างมาก เมื่อมีลายใหม่มาเราก็จะนำเสนอลูกค้า และทางร้านยังเปิดให้บริการแต่งรถมอเตอร์ไซค์ด้วย ส่วนแบบสติกเกอร์ลายรถนั้น ปีหนึ่งทางผู้ผลิตมีแบบใหม่ให้เลือกมากกว่า 20-30 แบบ ทำให้ร้านเรามีแบบใหม่มานำเสนอลูกค้าได้เข้ามาใช้บริการอยู่เรื่อย

ส่วนขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่อาจจะต้องทำในห้องปรับอากาศเพื่อป้องกันฝุ่น การติดสติกเกอร์คันหนึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงแล้วแต่ความยากง่าย และขนาดของรถ ส่วนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยต่อวันประมาณ 2-3 คัน การแข่งขันในธุรกิจนี้อยู่ที่ความประณีต และความละเอียดในการทำงาน เพื่อให้ได้ผลงานที่ดี และถูกใจลูกค้า ปัจจุบันความนิยมในการทำสติกเกอร์แต่งลายรถไม่ได้มีเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่ในตลาดต่างจังหวัดก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน

โทร. 08-4095-5941, www.stickermakeover.com

การทำธุรกิจไม้ดอกไม้ประดับ


การทำธุรกิจไม้ดอกไม้ประดับ

ธุรกิจในกลุ่มนี้ต้องออกตัวก่อนเลยนะครับว่าเป็นธุรกิจที่มีการเเข่งขันกันไม่สูงมากนักเเต่ ขนาดตลาดก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายดังนั้น คอนเทน ที่จะทำให้ธุรกิจนี้อยู่ได้ก็คือ ไอเดียครับ พี่น้องยกตัวอย่างจากบทความนี้นะครับ

ธุรกิจไม้ดอกไม้ประดับถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าจับตามอง เพราะคนส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจการปลูกต้นไม้กันมากขึ้น โดยเฉพาะการปลูกผักสวนครัวเพื่อตกแต่งบ้าน วันนี้มีเรื่องราวของพริกสายพันธุ์เม็กซิกัน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มของคนชอบการแต่งสวน

ที่ผ่านมา การแต่งสวนในสไตล์ผักสวนครัวได้รับความนิยม เพราะไม่ได้แค่การแต่งสวนที่สวยงามจากพืช ผักแล้ว ยังได้กินผลผลิตที่ออกมาด้วย และจุดเด่นของพริกเม็กซิกันอยู่ที่ผล ซึ่งมีรูปทรง และสีสันสดใสสวยงามสะดุดตา ใครที่ชอบการแต่งสวนแนวสีสันสดใสจะชอบพริกเม็กซิกันอย่างแน่นอน

ปัจจุบันตลาดของไม้ประดับพริกเม็กซิกันมีการนำออกมาขายให้เห็นกันบ้างแล้วแต่ยังไม่มากนัก สาเหตุมาจากคนไทยยังชอบการปลูกไม้ดอกมากกว่า แต่สำหรับ สวนสุขฆะโตพันธุ์ไม้ ร้านไม้ดอกไม้ประดับที่เปิดให้บริการขายต้นไม้สายพันธุ์แปลก หายาก อยู่ที่ตำบลพังลา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จุดขายของร้านอยู่ที่ต้นไม้พันธุ์หายาก หรือการเพาะสายพันธุ์ต้นไม้ใหม่ ต้นไม้ที่ลูกค้านึกถึงเมื่อมาร้านสุขฆะโต ต้องยกให้ไม้พระราชทานอย่าง มหาพรหมราชินี ปาล์มบังสูรย์ จำปีแดง ฯลฯ

นางสาวรัชดาพร จูสวย เจ้าของร้านสุขฆะโต เล่าว่า ครอบครัวของตนเปิดร้านไม้ดอกไม้ประดับมานานกว่า 20 ปี เริ่มจากคุณพ่อเป็นคนชอบปลูกต้นไม้มาก และได้เพาะพันธุ์ไม้หายากไว้หลายชนิด มีคนสนใจมาติดต่อขอซื้อไปแต่งสวนบ่อยๆ ส่วนใหญ่ทางร้านเน้นไปที่ไม้ยืนต้นใหญ่ ก็เลยตัดสินใจเปิดร้าน และเริ่มหาต้นไม้ประดับที่ลูกค้านิยมมาขยายพันธุ์ และขายหน้าร้าน นอกจากนี้ จุดเด่นของร้านเพาะขยายพันธุ์เองทำให้ได้ต้นไม้สายพันธุ์ที่แปลกใหม่ เช่น จำปีสีแดง ดอกหน้าวัวในสีที่แตกต่างจากหน้าวัวที่มีในท้องตลาด เป็นต้น

“ครั้งแรกร้านเราเติบโตมาจากร้านขายต้นไม้ใหญ่ แต่ช่วงหลังความนิยมต้นไม้กระถางเริ่มมีมากขึ้น หลังจากบ้านใหม่หลังเล็กลง และคนนิยมปลูกต้นไม้ในบ้าน คอนโดฯ หรือออฟฟิศ ทำให้เราต้องหันมามองต้นไม้เล็กๆ ที่ปลูกในบ้าน คอนโดฯ อย่างล่าสุดมีต้นไม้กันยุง อย่างสนหอม และต้นพริกเม็กซิกันออกมาจำหน่าย จุดขายของไม้ประดับทั้ง 2 ชนิดแตกต่างกัน อย่างสนหอมเหมาะต่อการปลูกในบ้านเพราะสามารถกันยุงได้ เมื่อนำใบมาถูกันก็จะออกกลิ่นหอมคล้ายตะไคร้หอม และด้วยรูปทรงของสนหอมคล้ายต้นคริสต์มาส จึงนิยมนำมาประดับเป็นต้นคริสต์มาสในช่วงเทศกาล บางคนเรียกว่า ต้นคริสต์มาส จะพบมากในประเทศมาเลเซีย”
ในส่วนของร้านสุขฆะโต มีการนำเข้าสนหอมมาจากมาเลเซีย มาหลายปีแล้วจนสามารถขยายพันธุ์เองได้ ซึ่งก็ต้องใช้เวลา เพื่อให้ต้นไม้สามารถปรับตัวเอง และเจริญเติบโตในอากาศบ้านเราได้ แต่โชคดีที่ภาคใต้อากาศใกล้เคียงกับทางมาเลเซียอยู่แล้ว ต้นไม้จึงปรับตัวได้ไม่ยาก สนหอมจะเริ่มนำออกขายได้เมื่ออายุประมาณ 1-2 ปี ราคาเริ่มต้นที่ 180 บาท ซึ่งต้นที่สามารถนำมาแทนต้นคริสต์มาสได้ต้องมีอายุประมาณ 3 ปี

สำหรับในส่วนของพริกเม็กซิกัน จะเป็นการนำเมล็ดมาเพาะขยายพันธุ์และเลี้ยงเอง จนได้พริกเม็กซิกันที่มีสีสดใสให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีแดง สีม่วง สีส้ม จุดเด่นของพริกเม็กซิกันคือ ออกผลจำนวนมากเต็มต้น และด้วยรูปทรงและสีเป็นจุดขายให้พริกเม็กซิกันได้รับความนิยมในกลุ่มของคนแต่งสวน หรือถ้าจะนำไปปรุงอาหารก็สามารถทำได้ ซึ่งพริกเม็กซิกันจะต่างจากพริกทั่วไปของบ้านเราเพราะเป็นพริกที่มีความเผ็ดมาก คนไทยจึงไม่ค่อยนิยมนำมาทำอาหาร กลัวเรื่องความเผ็ด

ทั้งนี้ พริกเม็กซิกันสามารถปลูกได้ทั่วไปเพราะเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนเหมือนพริกบ้านเรา การขยายพันธุ์ง่าย แค่ใช้เมล็ดก็ขยายพันธุ์ได้ ต่างจากสนหอมที่ใช้การตัดและตอนกิ่ง ในส่วนของพริกเม็กซิกันที่นำมาทำเป็นไม้ประดับใช้วิธีการบังคับการเติบโตของลำต้นไม่ให้ใหญ่มาก ราคาขายต้นละ 180 บาท อายุประมาณ 2-6 เดือนก็สามารถนำออกมาขายได้ อายุของพริกประมาณ 1-2 ปี เริ่มจากพริกสีเขียวก่อน และพอเติบโตเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง สีส้ม สีม่วง การออกผลจะออกใหม่ทุกครั้งเมื่อพริกเม็ดเดิมร่วงหล่นไป

ทางร้านสุขฆะโตได้นำพริกเม็กซิกันมาเปิดตัวในงานบ้านและสวน 2012 มีลูกค้าให้ความสนใจค่อนข้างมาก เพราะผลของพริกที่ออกเต็มต้น และสีสันที่สดใสเป็นจุดสนใจของลูกค้า รวมไปถึงข้อความที่เขียนถึงความเผ็ดของพริกเม็กซิกัน ส่งผลให้พริกเม็กซิกันที่โชว์ในงานได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น
โทร. 08-2777-8147
ที่มา ผู้จัดการครับพี่น้อง

ขั้นตอนการเปิดร้านปุ๋ยเคมีเกษตร


ขั้นตอนการเปิดร้านปุ๋ยเคมีเกษตร
 
ผู้ประกอบการร้านค้าทุกรายต้องมีใบอนุญาต และปฏิบัติตาม พรบ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 พรบ.ปุ๋ย พ.ศ.2518 และ พรบ.พันธุ์พืช พ.ศ.2518
หน้าที่ผู้ประกอบการร้านค้า
 

1. ผู้ประกอบการร้านค้าทุกราย ต้องมีใบอนุญาตของกรมวิชาการเกษตรในการขายสารเคมี ปุ๋ยเคมี และพันธุ์พืช ผู้ใดขายวัตถุอันตรายโดยไม่มีใบอนุญาตมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ผู้ใดขายวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งได้ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
( วัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ในปี 2547 มี 96 ชนิด มีชื่อสามัญ เช่น methamidophos endosulfan และ parathion methyl เป็นต้น )
3. ร่วมมือกับภาครัฐ โดยซื้อสินค้าจากบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย สารเคมี ปุ๋ยเคมี และพันธุ์พืช ต้องผ่านการจดทะเบียนรับรองจากกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งจัดสถานที่เก็บสารเคมี อย่างถูกต้องเหมาะสม
4. ผู้ขายสารเคมีทุกราย ต้องมีใบประกาศนียบัตรของกรมวิชาการเกษตร โดยผ่านการฝึกอบรมความรู้ด้านวัตถุอันตรายสามารถให้ความรู้แก่เกษตรกรได้
5. ทุกครั้งที่ขายสารเคมี ปุ๋ยเคมี และพันธุ์พืช ต้องให้ข้อมูลตามฉลากที่กรมวิชาการเกษตรรับรอง หรือใช้ภาษาที่เกษตรกรเข้าใจง่าย เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ผลิต ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
การขอใบอนุญาตและต่อใบอนุญาตวัตถุอันตราย ปุ๋ยเคมี และพันธุ์พืช
หลักฐานผู้ประกอบการขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร
1.สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาทะเบียนพาณิชย์
เลขที่สถานประกอบการค้าต้องตรงกับร้านที่ขาย
4. สำเนาใบประกาศอบรมวัตถุอันตราย
ผู้ควบคุมการขายวัตถุอันตราย ทางการเกษตร
5. แบบคำขอ วอ.7
ขอได้ที่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 (ต้องเซ้นต์รับรองสำเนาทุกฉบับ)
หลักฐานผู้ประกอบการขายปุ๋ยเคมีหรือมีไว้ขาย
1.สำเนาบัตรประชาชน
2.สำเนาทะเบียนบ้าน
3.สำเนาทะเบียนพาณิชย์
เลขที่สถานประกอบการค้าต้องตรงกับร้านที่ขาย
4. แบบคำขอ ปค.1
ขอได้ที่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
( ต้องเซ็นต์รับรองสำเนาทุกฉบับ )
หลักฐานผู้ประกอบการขายเมล็ดพันธุ์ควบคุม
1.สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาทะเบียนพาณิชย์
เลขที่สถานประกอบการค้าต้องตรงกับร้านที่ขาย
4. แบบคำขอ พพ.1
ขอได้ที่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
( ต้องเซ็นต์รับรองสำเนาทุกฉบับ )
สหกรณ์
1. ใบสำคัญจดทะเบียนสหกรณ์
2. หนังสือรับรองผู้มีอำนาจลงนาม
3. สำเนาบัตรผู้มอบอำนาจ
4. สำเนาบัตรผู้รับมอบอำนาจ
5. หนังสือมอบอำนาจ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท/ชุด
6. หนังสือรับรองสถานที่ตั้งสหกรณ์
( ต้องเซ็นต์รับรองสำเนาทุกฉบับ )
นิติบุคล
1. ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน หจก.
2. หนังสือรับรองการจดทะเบียน หจก.
ผู้มีอำนาจลงนาม
3. รายละเอียดวัตถุประสงค์
4. สำเนาบัตรประชาชนผู้มีอำนาจลงนาม
-หนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 10 บาท/ชุด – สำเนาบัตรผู้รับรองอำนาจ
( ต้องเซ็นต์รับรองสำเนาทุกฉบับ )
ค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาต
ผู้ประกอบการร้านค้า ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาตทุกปีที่หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร
ปุ๋ยเคมี 100 บาท / ฉบับ / ปี
พันธุ์พืช 100 บาท / ฉบับ / ปี
วัตถุอันตราย 500 บาท / ฉบับ / ปี
กรณีให้ส่งใบอนุญาตทางไปรษณีย์ เพิ่มค่าลงทะเบียน 30 บาท ติดต่อด้วยตนเอง หรือ ส่งหลักฐานพร้อมธนาณัติสั่งจ่าย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 65130 โทร.0-5531-1991,
โทรสาร 0-5531-1406 หรือ 0-5531-1407
กรณีให้ส่งใบอนุญาตทางไปรษณีย์ เพิ่มค่าลงทะเบียน 30 บาท ติดต่อด้วยตนเอง หรือ ส่งหลักฐานพร้อมธนาณัติสั่งจ่าย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 65130 โทร.0-5531-1991, โทรสาร 0-5531-1406 หรือ 0-5531-1407
หากมีข้อสงสัยติดต่อสอบถาม ศูนย์บริการวิชาการแบบเบ็ดเสร็จ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
โทร 0-5531-1991 ,0-5531-14061
สถานที่ขอใบอนุญาตและต่อใบอนุญาต
* จังหวัดพิษณุโลก
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 65130
Tel:0-5531-1991 Fax:0-5531-1406,
0-5531-1407
หากมีข้อสงสัยติดต่อสอบถาม ศูนย์บริการวิชาการแบบเบ็ดเสร็จ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
โทร 0-5531-1991 ,0-5531-14061
สถานที่ขอใบอนุญาตและต่อใบอนุญาต
* จังหวัดพิษณุโลก
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 65130
Tel:0-5531-1991 Fax:0-5531-1406,
0-5531-1407
ศูนย์วิจัยพืชไร่พิษณุโลก ต.วังทอง อ.วังทอง
จ.พิษณุโลก 65130Tel: 0-5531-1888
Fax: 0-5531-1368
*จังหวัดอุตรดิตถ์
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
ส่วนแยก วิจัยวัตถุมีพิษ อุตรดิตถ์
ต.ชัยชุมพล อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ 53130
Tel: 0-5543-6317 Fax: 0-5543-6318
*จังหวัดเพชรบูรณ์
ศูนย์วิจัยพืชไร่เพชรบูรณ์ ต.สะเดียง
อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67000
Tel: 0-5672-1507 Fax: 0-5672-0687
ศูนย์วิจัยพืชสวนเพชรบูรณ์ ( เขาค้อ )
ต.สะเคาะพง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ 67270
Tel: 0-5681-0024 Fax: 0-5681-0025
*จังหวัดพิจิตร
ศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตร ต.โรงช้าง อ.เมือง
จ.พิจิตร 66000
Tel: 0-5699-0037 Fax: 0-5661-2351
*จังหวัดตาก
ศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิตตาก อ.เมือง จ.ตาก 63000
Tel: 0-5551-2131 Fax: 0-5551-4034
*จังหวัดสุโขทัย
ศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิตสุโขทัย ( ศรีสำโรง ) อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย 64120 Tel: 0-5568-1384 Fax: 0-5568-1385
สถานที่ขอใบอนุญาตและต่อใบอนุญาต
*หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรทุกแห่งทั่วประเทศ
* เขตภาคเหนือตอนล่าง
ส่งหลักฐานทางไปรษณีย์ถึงสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 พร้อมธนาณัติสั่งจ่าย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 65130
มีปัญหาติดต่อสอบถามได้ที่
หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรทุกแห่งทั่วประเทศ
* www.doa.go.th
* สำนักควบคุมพืชและวัสดุทางการเกษตร
Tel: 02-9406573 Fax: 02-5798535
* สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2
Tel: 0-5531-1991 Fax: 0-5531-1406
E-mail: oard2 .com